แม้ไม่มีสมาธิ! “เซลบี้” ลั่นตั้งเป้าซิวแชมป์สอยคิวมอบให้ “เจ้าสัววิชัย”

มาร์ค เซลบี้ ยอดนักสอยคิวชาวอังกฤษมือ 1 ของโลก ที่เป็นสาวกตัวยงของ “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี้ สโมสรในศึกพรีเมียร์ลีก ให้สัมภาษณ์กับ บีบีซี สื่อดังในบ้านเกิด ว่าตั้งเป้าคว้าแชมป์รายการที่ประเทศจีน เพื่อมอบให้กับ คุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก

นักแม่นคิววัย 35 ปี ที่กำลังลงแข่งขัน สนุกเกอร์ “อินเตอร์เนชันแนล แชมเปียนชิพ” ที่เมืองต้าชิง ประเทศจีน โดยสามารถเอาชนะ สจ๊วร์ต แคร์ริงตัน 6-3 ทะลุผ่านเข้าถึงรอบ 8 คนสุดท้าย

“สัปดาห์นี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับผมกับสิ่งที่เกิดขึ้น ผมต้องพยายามแยกมันออกไปจากสมอง และพยายามลงเล่นอย่างเต็มที่เพื่อที่จะคว้าถ้วยแชมป์กลับไปมอบให้กับคุณวิชัย”

“คู่แข่งที่ผมเจอได้เดินมาบอกผมให้พยายามเอาชนะให้ได้ ผมพยายามโฟกัสกับการแข่งขันเท่านั้น เพราะหากไม่แล้วมันจะส่งผลต่อการเล่นอย่างแน่นอน”

“อย่างไรก็ตาม หากผมทำมันไม่สำเร็จ ผมจะรีบเดินทางกลับบ้านเพื่อไปร่วมแสดงความอาลัยที่หน้าสนามแข่งขันทันที” อดีตแชมป์โลก 3 สมัย กล่าว

สำหรับ มาร์ค เซลบี้ ถือเป็นแฟนบอลตัวยงของ เลสเตอร์ ซิตี้ เนื่องจากเกิดที่เมืองเลสเตอร์ แถมเคยได้พบปะพูดคุยกับคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสร ที่สนามคิง เพาเวอร์ มาก่อนหน้านี้

ทำไมนักสนุกเกอร์ต้องใส่เสื้อกั๊กและเสื้อเชิ้ตแขนยาว?

“เครื่องแบบ”… หลายคนอาจโอเคกับการใส่ หลายคนอาจจะไม่ปลื้ม แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในบางสังคม เครื่องแบบถือเป็นสิ่งที่ถูกบัญญัติในกฎระเบียบ ส่วนจะเพื่อให้ง่ายต่อการสังเกต หรือเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย อันนี้ก็สุดแท้แต่เหตุผลของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

วงการกีฬาเองก็เช่นกัน เพราะไม่ว่าจะในการแข่งขันกีฬาใดก็ตาม ก็มักจะมีกฎระเบียบที่ระบุถึงเครื่องแบบที่พวกเขาต้องสวมใส่ลงทำการแข่งขันเสมอ รวมถึงกีฬาอย่าง สนุกเกอร์ ก็ด้วยเช่นกัน

แต่หากสังเกตดูก็จะพบว่า เครื่องแบบของเหล่านักสนุกเกอร์ที่ทำการแข่งขันในแมตช์ต่างๆ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน นั่นคือ พวกเขาจะต้องใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว กางกางสแล็ค รองเท้าหนัง มิเพียงเท่านั้น ยังต้องใส่เสื้อกั๊ก รวมถึงผูกหูกระต่ายด้วย

ด้วยอาภรณ์สุดเนี้ยบ หลายครั้งหลายหนนักสนุกเกอร์ก็มักจะถูกแซวแบบที่คนแซวกับคนได้ยินขำ ส่วนเจ้าตัวไม่รู้อย่างไรว่า แต่งตัวเหมือนบ๋อยบ้าง เด็กรับรถบ้าง แต่เหตุใดพวกเขาถึงต้องแต่งตัวแบบจัดเต็มถึงเพียงนี้ด้วยล่ะ?

เหตุเริ่มจากจุดกำเนิด

ภาพจำของแฟนกีฬาเมื่อนึกถึงกีฬาสนุกเกอร์ในเรื่องของการแต่งกายนั้น ก็เป็นอย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้น เสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก หูกระต่าย ฯลฯ ทุกอย่างคือสิ่งที่เราเห็นมาตั้งแต่ยังจำความได้

ซึ่งหากจะหาจุดเริ่มต้นว่าเหตุใด นักกีฬาสนุกเกอร์ถึงต้องแต่งกายให้เนี้ยบถึงเพียงนี้ ก็คงต้องย้อนกลับไปถึงจุดกำเนิดของมันเลยทีเดียว

ก่อนอื่นเลยก็คือ สนุกเกอร์นั้นเป็นกีฬาที่ถูกพัฒนาดัดแปลงมาจากกีฬาบิลเลียดในปี 1875 ตามแนวคิดของ เซอร์ เนวิลล์ ฟรานซิส ฟิซเจอร์รัลด์ แชมเบอร์เลน นายทหารกองทัพอังกฤษที่ประจำการอยู่ในเมืองจาบาลเปอร์ ของอินเดีย (สมัยยังเป็นเขตอาณานิคม) ผู้มองว่า กติกาของบิลเลียดซึ่งพวกเขาเล่นอยู่แต่เดิมนั้นดูจะธรรมดาไป เพราะมีแค่การแทงลูกแดงกับดำเพียง 2 ลูกเท่านั้น จึงได้เพิ่มลูกสีอื่นๆ เข้าไปในเกม และปรับการคิดคะแนนให้มีความหลากหลาย ซึ่งคำว่า “สนุกเกอร์” ก็ได้รับการบัญญัติโดยเซอร์แชมเบอร์เลนนั่นเอง

และอย่างที่กล่าวไปว่า กีฬาสนุกเกอร์นั้นพัฒนามาจากบิลเลียด ทำให้ค่านิยมแทบทุกอย่างจึงได้รับการสืบทอดกันมาด้วย ไม่เว้นแม้แต่เครื่องแต่งกาย เพราะกีฬาบิลเลียดที่เริ่มมีการเล่นกันมาตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 16 นั้น เป็นที่รู้จักในฐานะ “กีฬาสุภาพบุรุษ” เนื่องจากเป็นกีฬาที่นิยมเล่นกันในหมู่เชื้อพระวงศ์และทหาร ซึ่งเครื่องแต่งกายที่สวมใส่เวลาเล่นที่โต๊ะนั้นก็คือ ชุดสุดเนี้ยบ สวมสูท ผูกไท นั่นเอง

ด้วยประเพณีที่สืบสานกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษนี้ จึงทำให้เครื่องแต่งกายของนักสนุกเกอร์ ยังคงรักษาความเนี้ยบและเรียบร้อยกันมาถึงทุกปัจจุบัน

เวลาเปลี่ยน อะไรเปลี่ยน?

ถามว่ากีฬาสนุกเกอร์รักษาธรรมเนียมการแต่งตัวอันเรียบร้อยและเนี้ยบขนาดไหน? เอาเป็นว่าเราทำการสืบค้นถึงกติกาการแข่งขันสนุกเกอร์ระดับอาชีพแล้วก็พอว่า เรื่องการแต่งตัวคือหนึ่งในกติกา ซึ่งได้บัญญัติตามที่เรากล่าวไว่ในตอนแรกอย่างชัดเจน พร้อมกับย้ำว่า จะต้องมีการรีดเสื้อผ้าให้เรียบ ขัดรองเท้าให้เงาอีกด้วย

แต่ถึงกระนั้น เครื่องแต่งกายของนักกีฬาสนุกเกอร์ก็ได้มีการปรับปรุงให้เข้ากับธรรมชาติของการแข่งขัน ตลอดจนยุคสมัยที่เปลี่ยนไปเช่นกัน

เพราะจากในสมัยอดีตที่ผู้เล่นจัดเต็มทั้งใส่สูทผูกไท ก็ได้มีการเปลี่ยนกฎให้ผู้เล่นใส่เสื้อกั๊กและผูกหูกระต่ายแทน เนื่องจากธรรมชาติของกีฬานี้ จะต้องมีการก้มๆ เงยๆ แทงลูกอยู่เป็นประจำ เสื้อกั๊กกับหูกระต่ายจึงเป็นตัวเลือกในการสวมใส่ชุดที่เรียบร้อย แต่ไม่รุ่มร่าม และไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของชุดที่อาจจะไปรบกวนการเล่นจนต้องเสียคะแนนได้อีกด้วย

นอกจากนั้น กฎเรื่องการแต่งตัว หรือ Dress Code ก็เริ่มที่จะได้รับการผ่อนคลายให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป โดยสามารถใส่เสื้อกั๊กสีอื่นๆ ได้แล้ว เช่นเดียวกับสามารถติดโลโก้สปอนเซอร์ที่ด้านหน้าของเสื้อกั๊กได้อีกด้วย

และแม้จะมีการบัญญัติกฎไว้อย่างเคร่งครัด แต่หากมีเหตุสมควร นักกีฬาก็สามารถที่จะไม่ขอแต่งเต็มยศได้เช่นกัน อย่างเช่นกรณีของ สตีเฟ่น แม็คไกวร์ ซึ่งมีปัญหาบริเวณคอ ซึ่งแพทย์ได้ทำการตรวจและรับรองให้เขาไม่ต้องผูกหูกระต่ายลงแข่งได้

อย่างไรก็ตาม ฌอน เมอร์ฟี่ แชมป์โลกสนุกเกอร์ปี 2005 ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสหภาพผู้เล่นก็ยอมรับว่า ตัวเขาเองก็พร้อมที่จะเปิดรับการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

“ส่วนตัวผมรับได้นะหากจะเปลี่ยนมาใส่เสื้อโปโล เพราะดูอย่างกีฬากอล์ฟสิ พวกเขาก็แต่งตัวแบบดูดี แถมยังสามารถดึงแบรนด์เสื้อต่างๆ มาร่วมงานกับนักกีฬา สร้างยอดขายทำให้นักกีฬาได้รับส่วนแบ่งด้วย เพราะคุณสามารถไปซื้อเสื้อที่นักกอล์ฟใส่ตามร้านขายอุปกรณ์กีฬาได้ แต่กับเรามันไม่ใช่แบบนั้น ซึ่งมองอีกมุม มันก็เหมือนเราตัดจมูกตัวเองทำให้เสียมูลค่าทางการตลาดไปเช่นกัน”

ซึ่งถึงแม้เราจะได้เห็นบางรายการที่ปรับภาพลักษณ์ อนุญาตให้นักกีฬาใส่เสื้อโปโลลงแข่งได้ ถึงกระนั้น ประเพณีก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่จะเปลี่ยนกันง่ายๆ ด้วยเหตุนี้การสวมเสื้อเชิ้ต เสื้อกั๊ก ผูกหูกระต่าย จึงยังเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับการแข่งขันสนุกเกอร์ต่อไป แต่เสียงเรียกร้องแห่งการเปลี่ยนแปลงก็ลอยอยู่ท่ามกลางสายลม เหลือเพียงแค่ว่า เสียงดังกล่าวจะดังเพียงพอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

สองปีติด! “เอฟ นครนายก” ลิ่วสอยคิวโลก 32 คน ลุยครูซิเบิ้ลฯ

“เอฟ นครนายก” เทพไชยา อุ่นหนู นักสนุกเกอร์ขวัญใจชาวไทยรายล่าสุด สามารถสร้างประวัติศาสตร์ทะลุเข้าแข่งขันในรอบเมนดรอว์ ของศึกสนุกเกอร์ชิงแชมป์โลก รายการใหญ่ที่สุดของปี ที่ครูซิเบิ้ลเธียเตอร์ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษได้สำเร็จเป็นปีที่สองติดต่อกัน

การแข่งขัน สนุกเกอร์ชิงแชมป์โลก 2019 ที่อิงลิช อินสติติวต์ ออฟ สปอร์ต ประเทศอังกฤษ เมื่อวันพุธที่ 17 เมษายน ที่่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบ 48 คนสุดท้าย นักแม่นคิวหนึ่งเดียวจากไทย “เอฟ นครนายก” เทพไชยา อุ่นหนู มืออันดับ 43 ของโลก ลงแข่งขันพบกับ โจ โอคอนเนอร์ นักสอยคิวชาวอังกฤษ มือ 76 ของโลก ใช้ระบบการแข่งขัน 10 ใน 19 เฟรม

โดยการแข่งขันในช่วงเซสชั่นแรก นักแม่นคิวชาวไทยเป็นฝ่ายสู้ได้ไม่เป็นรอง ก่อนขึ้นนำ 5-4 ในวันแรก ก่อนที่ในช่วงเซสชั่นที่สอง เทพไชยา อุ่นหนู ยังแทงด้วยความมั่นใจแถมทำเซ็นจูรี่เบรค 138 แต้มได้อีกด้วยในเฟรมที่ 13 ก่อนเก็บเพิ่มได้เป็น 10-6 เฟรม คว้าชัยพร้อมทะลุผ่านเข้าสู่รอบ 32 ทีม ที่ครูซิเบิ้ลเธียเตอร์ ได้สำเร็จ

ทำให้ นักแม่นคิวชาวไทยวัย 34 ปี สามารถผ่านเข้าไปเล่นที่ครูซิเบิ้ลเธียเตอร์ ได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน พร้อมรับเงินรางวัล 30,000 ปอนด์ (ประมาณ 1.2 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังมีลุ้นอันดับโลกพุ่งขึ้นไปติด 1 ใน 30 มืออันดับโลก

สำหรับ “เอฟ นครนายก” ถือเป็นผู้เล่นชาวไทยรายที่ 5ในประวัติศาสตร์ที่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้าย ไปเล่นในครูซิเบิ้ลเธียเตอร์ ได้สำเร็จ ต่อจาก “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” รัชพล ภู่โอบอ้อม, “ต่าย พิจิตร” ชูชาติ ไตรรัตนประดิษฐ์, “แจ๊ค สระบุรี” เดชาวัติ พุ่มแจ้ง และ “หมู ปากน้ำ” นพพล แสงคำ

“รอนนี่” เด็ดดวง กดซ้ายโชว์ ทำเซ็นจูรี่เบรคครบ 1,000 ครั้ง คนแรกของโลก

“รอนนี่ โอซุลลิแวน” นักสอยคิว วัย 43 ปี ชาวอังกฤษ กลายเป็นนักสนุกเกอร์คนแรกของโลก ที่ทำเซ็นจูรี่เบรคครบ 1,000 ครั้ง ได้สำเร็จ

โดยการแข่งขันสนุกเกอร์ คอรัล เพลเยอร์ส แชมเปี้ยนชิพ รอบชิงชนะเลิศ ระหว่าง รอนนี่ โอซุลลิแวน นักสนุ้กขวัญใจชาวโลก ลงสังเวียนพบกับ นีล โรเบิร์ตสัน นักสอยคิวจากออสเตรเลีย

การแข่งขันแมทต์นี้ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ของวงการสนุกเกอร์โลก เมื่อ รอนนี่ สามารถทำเซ็นจูรี่เบรคครบ 1,000 ครั้ง ได้สำเร็จ ในเกมสุดท้ายที่เขาเอาชนะ นีล โรเบิร์ตสัน ไปได้ 10-4 เฟรม ทำให้เขาขึ้นแท่นเป็นมนุษย์คนแรกที่ทำได้สำเร็จเป็นครั้งที่ 1,000 ท่ามกลางเสียงปรบมือดังกึกก้อง

นอกจากนี้ ในช็อตสำคัญในการทำแต้มเกิน 100 เขายังเปลี่ยนจากมือขวา มาใช้มือซ้ายแทงอีกด้วย ยิ่งสร้างรอยยิ้มและเสียงปรบมือดังขึ้นไปอีก

ทั้งนี้ การทำเซ็นจูรี่เบรค คือการทำ 100 หรือหนึ่งร้อยคะแนนขึ้นไป ในการแทงไม้เดียว และ รอนนี่ คือคนแรกที่ทำได้ถึง 1,000 ครั้ง ขณะที่นักสนุ้กที่ทำได้เป็นอันดับรองจากเขาคือ สตีเฟ่น เฮนดรี้ ที่ทำได้ 775 ครั้ง อันดับ 3 เป็น จอห์น ฮิกกิ้นส์ 745 ครั้ง และ นีล โรเบิร์ตสัน ทำได้ 621 ครั้ง

“รอนนี่” ที่ปัจจุบันรั้งมืออันดับ 35 ของโลกกล่าวว่า “มันเป็นช่วงเวลาพิเศษของผมมากๆ ผมไม่เคยคาดหวังอะไรในเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่ามันไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้หรอก”